
Super User
ความรู้เรื่อง โรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย
=โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน
ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของโรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี
=ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก
ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า
=อาการของ ไข้เลือดออก
อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ
1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน
2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว
3. ตับโต
4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก : มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ
=ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง
อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที
= ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก
ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน
=ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ
ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ
ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก
อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว
ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ
ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว
=เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที
- เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย
-เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบ
โดย...จ่าสิบเอกหญิงพเยาว์ ศรีจำปา หน.สำนักปลัด อบต.หนองบ่อ
เตือนภัยโรคพิษสุนัขบ้า ปี 2564
โรคพิษสุนัขบ้า
เกิดจากเชื้อไวรัส รูปร่างคล้ายกระสุนปืน ถูกทำลายได้ง่าย เมื่อถูกความร้อน ความแห้ง แสงแดด ยาฆ่าเชื้อพวกคลอรีน แอลกอฮอล์ กรด หรือด่าง อย่างแรง เกิดในสัตว์เลือดอุ่น เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น สุนัข แมว วัว ควาย ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ หมี หนู ค้างคาว รวมทั้งคน แต่ในประเทศไทยพบมากที่สุดในสุนัข (96% ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ )รองลงมา คือ แมว
การติดต่อ โดยถูกสัตว์ที่เป็นโรค กัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล
ระยะฟักตัว 7 วัน ถึง 6 เดือน ขึ้นกับบริเวรที่ได้รับเชื้อ โดยเฉลี่ยประมาณ 2 – 6 สัปดาห์
จะทำอย่างไรเมื่อถูกสัตว์กัด
1.ล้างแผล ด้วยสบู่กับน้ำหลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผลถ้ามี เลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผลเพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
2.ใส่ยาใส่แผล เช่น เบตาดิน ทิงเจอร์ ไอโอดีน แอลกอฮอล์ 70% จะช่วยฆ่าเชื้อโรค อย่าใส่สิ่งอื่น เช่น เกลือ ยาฉุน ลงในแผลไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3-4 วัน ถ้าเลือดออกมามากหรือแผลใหญ่ควรเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อละบายไว้
3.กักหมา ที่กัดไว้ดูอาการอย่างน้อย ๑๕ วัน โดยให้น้ำและอาหารโดยปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์นั้นดุรายกัดหรือสัตว์อื่นหรือไม่สามารถกัดสัตว์ไว้ได้
4.หาหมอ รีบไปหาแพทย์หรือสัตวแพทย์ทันทีที่ถูกกัด เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซินหรือเซรั่มอย่ารอจนสัตว์ที่กัดตาย
จะป้องกันสุนัขบ้าได้อย่างไร
1.ไม่ปล่อยสุนัขเพ่นพ่าน สุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนนเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่สำคัญ อาจกัดคนที่เดินผ่านไปมาหรือกัดสุนัขอื่นทำให้เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
2.ฉีดวัคซินป้องกันทุกปีสุนัขจรเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ (ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า 2535) ที่จะต้องนำสุนัขอายุระหว่าง 2-4 เดือน ได้ไปรับการฉีดวัคซินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และฉีดซ้ำตามที่สัตวแพทย์กำหนด
จะป้องกันสุนัขบ้าได้อย่างไร
1.ไม่ปล่อยสุนัขเพ่นพ่าน สุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนนเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่สำคัญ อาจกัดคนที่เดินผ่านไปมาหรือกัดสุนัขอื่นทำให้เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
2.ฉีดวัคซินป้องกันทุกปีสุนัขจรเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ (ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า 2535) ที่จะต้องนำสุนัขอายุระหว่าง 2-4 เดือน ได้ไปรับการฉีดวัคซินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และฉีดซ้ำตามที่สัตวแพทย์กำหนด
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบ
โดย...จ่าสิบเอกหญิงพเยาว์ ศรีจำปา หน.สำนักปลัด อบต.หนองบ่อ
เตือนภัยโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้า
เกิดจากเชื้อไวรัส รูปร่างคล้ายกระสุนปืน ถูกทำลายได้ง่าย เมื่อถูกความร้อน ความแห้ง แสงแดด ยาฆ่าเชื้อพวกคลอรีน แอลกอฮอล์ กรด หรือด่าง อย่างแรง เกิดในสัตว์เลือดอุ่น เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น สุนัข แมว วัว ควาย ลิง ชะนี กระรอก กระแต เสือ หมี หนู ค้างคาว รวมทั้งคน แต่ในประเทศไทยพบมากที่สุดในสุนัข (96% ของจำนวนที่พบเชื้อจากการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ )รองลงมา คือ แมว
การติดต่อ โดยถูกสัตว์ที่เป็นโรค กัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือทางผิวหนังที่มีบาดแผล
ระยะฟักตัว 7 วัน ถึง 6 เดือน ขึ้นกับบริเวรที่ได้รับเชื้อ โดยเฉลี่ยประมาณ 2 – 6 สัปดาห์
จะทำอย่างไรเมื่อถูกสัตว์กัด
1.ล้างแผล ด้วยสบู่กับน้ำหลาย ๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผลถ้ามี เลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผลเพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
2.ใส่ยาใส่แผล เช่น เบตาดิน ทิงเจอร์ ไอโอดีน แอลกอฮอล์ 70% จะช่วยฆ่าเชื้อโรค อย่าใส่สิ่งอื่น เช่น เกลือ ยาฉุน ลงในแผลไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3-4 วัน ถ้าเลือดออกมามากหรือแผลใหญ่ควรเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อละบายไว้
3.กักหมา ที่กัดไว้ดูอาการอย่างน้อย ๑๕ วัน โดยให้น้ำและอาหารโดยปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์นั้นดุรายกัดหรือสัตว์อื่นหรือไม่สามารถกัดสัตว์ไว้ได้
4.หาหมอ รีบไปหาแพทย์หรือสัตวแพทย์ทันทีที่ถูกกัด เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซินหรือเซรั่มอย่ารอจนสัตว์ที่กัดตาย
จะป้องกันสุนัขบ้าได้อย่างไร
1.ไม่ปล่อยสุนัขเพ่นพ่าน สุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนนเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่สำคัญ อาจกัดคนที่เดินผ่านไปมาหรือกัดสุนัขอื่นทำให้เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
2.ฉีดวัคซินป้องกันทุกปีสุนัขจรเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ (ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า 2535) ที่จะต้องนำสุนัขอายุระหว่าง 2-4 เดือน ได้ไปรับการฉีดวัคซินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และฉีดซ้ำตามที่สัตวแพทย์กำหนด
จะป้องกันสุนัขบ้าได้อย่างไร
1.ไม่ปล่อยสุนัขเพ่นพ่าน สุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนนเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่สำคัญ อาจกัดคนที่เดินผ่านไปมาหรือกัดสุนัขอื่นทำให้เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
2.ฉีดวัคซินป้องกันทุกปีสุนัขจรเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ (ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า 2535) ที่จะต้องนำสุนัขอายุระหว่าง 2-4 เดือน ได้ไปรับการฉีดวัคซินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และฉีดซ้ำตามที่สัตวแพทย์กำหนด
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบ
โดย...จ่าสิบเอกหญิงพเยาว์ ศรีจำปา หน.สำนักปลัด อบต.หนองบ่อ